ในกรณีที่มีตำรวจยัดยาเสพติดเรานั้น
ทีมทนายเชียงใหม่ และสำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ ขอเรียนว่าต้องพิจารณาสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. บันทึกการจับกุมสำคัญที่สุด
ต้องตรวจสอบบันทึกการจับกุมของตำรวจหรือปปส. เพราะถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในคดี
ตำรวจจะเบิกความขยายผลหรือขัดกับบันทึกการจับกุมหรือแตกต่างกันไม่ได้
และตำรวจต้องมอบสำเนาบันทึกการจับ ป.วิ.อ.มาตรา 84(1) (ฎีกา 6836/2541,3607/2538, 2705/2539, 63/2533,408/2485)
2.
ถ้ามีถ้อยคำรับสารภาพในชั้นจับกุม ป.วิ.อ.มาตรา
84 วรรคสี่ ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลย ดังนั้น
ถึงแม้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม
ก็ไม่ได้มีผลเสียต่อรูปคดี
ยังสามารถให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและชั้นศาลได้
หากมิได้กระทำความผิดและมีพยานหลักฐานหักล้างโจทก์ได้
3. คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนจะต้องมิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญ
ถ้าให้การเพราะถูกบังคับจากตำรวจ
ถือว่ารับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้ผู้ต้องหารับสารภาพ ก็ยังกลับคำให้การในชั้นศาลต่อสู้คดีได้ ทีมทนายเชียงใหม่
และสำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ ขอเรียนว่าหากมีพยานหลักฐานอื่นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์
ตัวอย่างที่ศาลยกฟ้อง เช่น คำเบิกความของตำรวจชุดจับกุมซึ่งเป็นพยานคู่
แตกต่างกันในสาระสำคัญ เช่น สายลับ การส่งมอบยาเสพติด จำนวนยาเสพติด
แหล่งที่พบยาเสพติด สถานที่ที่พบยาเสพติด ยานพาหนะที่ใช้ในการขนยาเสพติด หรือแตกต่างจากคำให้การของตนเองในชั้นจับกุม
บันทึกการจับกุมในชั้นสอบสวนหรือแตกต่างจากบัญชีของกลาง แผนที่สังเขปที่ตัวเองเป็นผู้จัดทำขึ้น
เป็นต้น (ฎีกา 1567-1568/2479, 8021/2544,6370/2539,7562/2537)
4. ถ้อยคำอื่นในบันทึกการจับกุมของผู้ต้องหา เช่น ยอมรับว่าได้ซื้อยาบ้ามาจากนาย ก.
ยอมรับว่าค้ายามานานแล้ว
ยอมรับว่านำยาบ้าไปซุกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง รับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดจำเลยได้
ถ้าก่อนที่ตำรวจจะถามผู้ต้องหาได้เตือนผู้ต้องหาให้รู้ตัวก่อนว่า
ถ้อยคำเกี่ยวกับยาเสพติดจะสามารถรับฟังลงโทษผู้ต้องหาได้ และต้องแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า
จะให้ถ้อยคำหรือไม่ก็ได้
จึงจะรับฟังลงโทษผู้ต้องหาได้
ป.วิ.อาญา มาตรา 84 วรรคท้าย (ฎีกา
3254/2553) ถ้อยคำอื่นในชั้นจับกุมของผู้ต้องหาหากเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไป ผู้ต้องหายังสามารถนำสืบในชั้นพิจารณาคดีให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้
เช่น ไม่ได้ให้ถ้อยคำดังกล่าว
หรือถ้อยคำดังกล่าวขัดต่อเหตุผลไม่น่าจะเป็นไปได้
เป็นต้น
5. ของกลางขณะถูกจับ ถ้ามิได้อยู่กับผู้ต้องหา
โอกาสต่อสู้คดีมีมาก
แต่ถ้าตำรวจยัดยาหรือเขียนลงในบันทึกการจับกุมว่า จับได้พร้อมของกลาง
โดยทั่วไปมุขของตำรวจมักจะระบุว่า
จับได้ในมือข้างขวาหรือกระเป๋ากางเกงด้านขวา
เป็นมุขเก่าๆ ดังนั้น
ถ้าตำรวจยัดข้อหาดังกล่าวจะต้องไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม และให้ร้องขอความเป็นธรรมว่า
ถูกยัดยาหรือจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
อันนี้ก็เป็นข้อต่อสู้ที่ต่อสู้ได้ ป.อ.มาตรา 83(ตัวการร่วม)
ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น ยาบ้าจำนวน 2,000
เม็ด ทีมทนายเชียงใหม่
และสำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ ขอเรียนว่าเป็นยาบ้าจำนวนมากไม่น่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของจำเลยเพราะอาจแตกเสียหายได้
หรือยาบ้าบรรจุอยู่ในกระเป๋าเดินทาง
ล็อคด้วยกุญแจพร้อมรหัส
หรือยาบ้าวางอยู่กลางบ้านเปิดเผย
หรือยาบ้าจำนวนน้อยอยู่ในกระเป๋ากางเกง
หากจำเลยค้ายาบ้าจริง
น่าจะถือไว้ในมือเพราะง่ายต่อการโยนทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานหรือตำแหน่งที่จำเลยอยู่ห่างไกลจากยาเสพติด เป็นต้น
6. ของกลางที่พบในบ้านของผู้ต้องหา ถ้ามีผู้ต้องหาคนหนึ่งรับเป็นเจ้าของแล้ว เช่น สามีรับสารภาพว่าเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่ภรรยาจะหลุด ตำแหน่งที่พบของกลาง ถ้าซุกซ่อนปกปิดมิดชิดอยู่ คนที่ต้องติดคุกคือเจ้าของห้อง แต่บุคคลอื่นที่อยู่ในห้องอาจมีข้อสงสัยว่า
อาจจะไม่ทราบว่ามียาเสพติด ยังมีลู่ทางต่อสู้อยู่ ตัวอย่างข้อต่อสู้ เช่น ไม่ได้พักอาศัยอยู่เป็นประจำ กลับบ้านดึก หรือมีบุคคลอื่นเข้าออกหลายคน
7.
คำซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน
มีน้ำหนักน้อย
ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยลำพัง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227/1 จะต้องมีพยานหลักอื่นประกอบ นอกจากคำซัดทอด เช่น
พบยาเสพติดของกลางเพิ่มเติม เป็นต้น (ฎีกา 1014/2540,758/2487) ตัวอย่างข้อต่อสู้
เช่น พยานถูกจับข้อหาค้ายาเสพติด
ซัดทอดจำเลยเพื่อต้องการลดโทษหรือตำรวจสัญญาว่าจะกันไว้เป็นพยาน คำให้การดังกล่าวไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
8. ธนบัตรล่อซื้อ
การพบธนบัตรในตัวผู้ต้องหาไม่ได้หมายถึงว่า ได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติด
หากมีช่องว่างไม่ใกล้ชิดติดต่อกับช่วงเวลาจำหน่ายยาเสพติด และโจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าเห็นจำเลยจำหน่ายยาเสพติด
อาจมีข้อสงสัยว่าจำเลยอาจรับธนบัตรไว้ด้วยเหตุผลอื่นก็เป็นได้
ตำรวจจะลงประจำวันก่อนหรือจะไม่ลงประจำวันก็ได้ (ฎีกา 270/2542)
9. การล่อซื้อยาเสพติดของตำรวจ ถ้าผู้ต้องหามียาเสพติดอยู่แล้ว
และสายลับล่อซื้อถือว่าทำได้ ตาม
ป.วิ.อ.มาตรา 2(10)
และเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายตามความจำเป็นและสมควรแต่ถ้าผู้ต้องหาไม่ได้มียาเสพติดไว้ในความครอบครอง
แต่ไปบังคับหรือใช้ให้ไปหายาเสพติดมาส่งมอบให้ตำรวจ ถือว่า
เป็นการล่อซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พยานหลักฐานที่ได้มาจากการล่อซื้อรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ (ฎีกา 4301/2543,
4077/2549,4085/2545)
10.ยานพาหนะที่ใช้ในการส่งมอบยาเสพติดต้องถูกริบแต่ในทางปฏิบัติตำรวจมักเรียกเงินจากผู้ต้องหาและปล่อยรถไป แต่ถ้ารถยนต์ติดสัญญาเช่าซื้อ
ต้องแจ้งยกเลิกสัญญากับบริษัทไฟแนนซ์แล้วให้ไฟแนนซ์ไปขอรถคืนจากตำรวจ
11.การหาทนายความว่าความคดียาเสพติด
ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
-
มีประสบการณ์คดียาเสพติดมายาวนาน มองคดีทะลุปรุโปร่ง
-
มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ
ไม่เน้นการวิ่งเต้น
ยัดเงินให้ตำรวจ
พวกนี้เรียกว่านักวิ่งความ ไม่ใช่ว่าความ เป็นภัยสังคม
-
มองคดีแบบบูรนาการครบทุกด้าน
-
มีแผนในการต่อสู้คดีที่สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ
-
เปิดเผยแผนได้ ไม่ใช่อ้างว่าเป็นความลับบอกไม่ได้
-
ต้องเน้นตัวบทกฎหมาย
เวลาให้คำปรึกษากับตัวความ
-
ยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาขึ้นมาสนับสนุนคำปรึกษาของตนเองว่าศาลฎีกาเคยวางแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยและยกฟ้อง
เป็นต้น
ทุกวันนี้มีการจับกุมคดียาเสพติดเป็นจำนวนมาก
แล้วเมื่อจับผู้กระทำความผิดได้แล้ว
ตำรวจมักจะทำการขยายผลเพื่อหาตัวผู้บงการใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติด
โดยวิธีการของตำรวจมักจะเนินการด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. บังคับให้ผู้กระทำความผิดใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรไปหาบุคคลซึ่งติดต่อค้าขายยาเสพติดด้วย
และให้หลอกล้อเพื่อนัดส่งยาเสพติด
2. หลังจากนั้นจึงสะกดรอย
เพื่อรอจังหวะในการจับกุม
3. ตำรวจมักจะชักจูงให้ผู้กระทำความผิดที่จับได้โดยต่อรองว่าให้ความร่วมมือกับตำรวจ
จะปล่อยตัวไป ส่วนใหญ่ผู้ต้องหามักกลัวและยอมทำตาม
4. เมื่อจับตัวผู้กระทำความผิดได้เพิ่มขึ้นแล้ว
บางครั้งตำรวจก็ปล่อยตัวไป บางครั้งก็ลดจำนวนยาเสพติดของกลางให้ เช่น 4,000 เม็ด
เหลือ 2,000 เม็ด
หรือบางครั้งไม่มีการลดจำนวนยาเสพติด
5. สายลับของตำรวจ บางครั้งก็เป็นพวกขี้ยา ,บางครั้งก็เป็นตำรวจไม่แน่นอน
6. แหล่งผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า , กัมพูชา
, ลาว ยากในการจับกุม
7. ในกรณีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทีมทนายเชียงใหม่ และสำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ ขอเรียนว่าให้ความช่วยเหลือกับทางราชการในการขยายผล
กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2
ให้ศาลใช้ดุลยพินิจลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ
ที่กำหนดสำหรับความผิดนั้นก็ได้ ดังนั้นเมื่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ให้ความช่วยเหลือในการบอกข้อมูลสำคัญ
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้กับเจ้าพนักงานหรือ ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน
ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น มียาบ้าประมาณ 2,000
เม็ด เมื่อรับสารภาพศาลอาจลงโทษจำคุกเพียง
4 ปี เป็นต้น
บทสรุปเมื่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดถูกจับ ควรให้ความร่วมมือในการขยายผล เพื่อหาตัวการใหญ่ เพราะจะได้ประโยชน์จากมาตรา 100/2
Tag: ทนายเชียงใหม่, ทนายเชียงใหม่ช่วยเหลือประชาชน, ทนายประชาชน, สำนักงานทนายความเชียงใหม่, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่, ทนายความเชียงใหม่, สำนักงานกฎหมายในจังหวัดเชียงใหม่, ทนายเชียงใหม่เก่งๆ, ปรึกษาทนายเชียงใหม่, ทนายอาสาเชียงใหม่, สภาทนายเชียงใหม่, ทนายความเชียงใหม่มืออาชีพ, ทนายความเชียงใหม่ช่วยเหลือ SME และ START UP, ทนายเชียงใหม่ความมุ่งมั่น, ทนายความเชียงใหม่คลายทุกข์, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ช่วยเหลือประชาชน, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่มุ่งมั่นช่วยเหลือประชาชน, สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่คลายทุกข์
#สำนักงานทนายเชียงใหม่ #สำนักงานกฎหมายในจังหวัดเชียงใหม่ #สำนักงานกฎหมายเชียงใหม่ #ทนายเชียงใหม่เก่งๆ #ปรึกษาทนายเชียงใหม่ #ทนายเชียงใหม่ #ทนายอาสาเชียงใหม่ #สภาทนายเชียงใหม่ #ทนายความเชียงใหม่

Share on Facebook